ติดโซลาร์คืนทุนยังไง? ทำไมต้องมองให้เป็นเรื่องลงทุน?
- Brighten Generation

- May 15
- 1 min read
Updated: May 23
ในยุคที่ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนเริ่มหันมาพิจารณาการติดโซลาร์บนหลังคาบ้านหรืออาคารธุรกิจมากขึ้น เพื่อหวังลดภาระค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน แต่แท้จริงแล้ว “โซลาร์เซลล์” ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีสีเขียวหรือทางเลือกประหยัดไฟเท่านั้น — มันคือ “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเปลี่ยนมุมมอง จาก “อยากประหยัดไฟ” เป็น “ลงทุนในระบบที่สร้างรายได้ได้จริง” พร้อมไขข้อสงสัยว่า “ติดโซลาร์คืนทุนยังไง?” และทำไมคุณควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

📌 ทำไมต้องมอง “ติดโซลาร์” ให้เป็นการลงทุน?
การลงทุนที่ดีคือการนำเงินไปวางไว้ในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดในอนาคต — ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวม
โซลาร์เซลล์ก็เช่นกัน
เมื่อคุณลงทุนติดตั้งระบบโซลาร์ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กสำหรับบ้าน หรือขนาดใหญ่สำหรับกิจการ คุณกำลังสร้าง “โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก” ที่ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองทุกวัน โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเหมือนเดิม
สิ่งที่คุณจ่ายลดลง = กระแสเงินสดที่กลับเข้ากระเป๋าคุณทุกเดือน
💡 การติดโซลาร์คืนทุนอย่างไร?
การ คืนทุน จากการติดโซลาร์เซลล์มาจาก การประหยัดค่าไฟ ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน โดยสามารถประเมินเบื้องต้นได้ตามสูตรนี้:
ระยะเวลาคืนทุน = ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง / ค่าไฟที่ประหยัดได้ต่อเดือน
ตัวอย่าง:
ระบบโซลาร์ขนาด 5 kW ใช้ไฟเฉลี่ยเดือนละ 3,000 บาท
ติดตั้งระบบโซลาร์ราคา 200,000 บาท
ประหยัดไฟได้เฉลี่ยเดือนละ 2,500 บาท
คืนทุน = 200,000 / 2,500 = 80 เดือน หรือประมาณ 6.7 ปี
เมื่อผ่านพ้นช่วงคืนทุนแล้ว ทุกเดือนต่อจากนั้นคือ กำไรสุทธิ ที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าไฟอีกต่อไป โดยที่ระบบมีอายุการใช้งาน 20–25 ปี เท่ากับว่าคุณจะมี ผลตอบแทนต่อเนื่องอีก 13–18 ปี เลยทีเดียว
📊 เปรียบเทียบ “ติดโซลาร์” กับการลงทุนแบบอื่น
✅ ติดโซลาร์เป็นการลงทุนที่ “มีความเสี่ยงต่ำ” เพราะต้นทุนคงที่ กำไรชัดเจน และมีการใช้งานจริงทุกวัน
💰 ผลตอบแทนจากการติดโซลาร์ในแง่ “ROI”
ROI (Return on Investment) คืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งสำหรับระบบโซลาร์เซลล์ สามารถประเมินได้จาก
ROI = (เงินที่ประหยัดได้ต่อปี x อายุระบบ) / ต้นทุนลงทุน
ตัวอย่าง:
ประหยัดไฟปีละ 30,000 บาท
อายุระบบ 20 ปี
ต้นทุนติดตั้ง 200,000 บาท
ROI = (30,000 x 20) / 200,000 = 300%
เท่ากับได้ผลตอบแทน 3 เท่าจากเงินที่ลงทุนไป
⚠️ ติดโซลาร์ต้องวางแผนอย่างไรให้ “ลงทุน” แล้วคุ้มค่า?
1.
สำรวจพฤติกรรมการใช้ไฟก่อน
บ้านที่ใช้ไฟเยอะช่วงกลางวัน จะได้ผลตอบแทนคุ้มที่สุด เพราะสามารถใช้ไฟที่ผลิตได้ทันทีโดยไม่ต้องเก็บไว้ในแบตเตอรี่
2.
ออกแบบระบบให้เหมาะสม ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป
การลงทุนระบบที่ใหญ่เกินความจำเป็น อาจคืนทุนช้ากว่าระบบที่ออกแบบอย่างพอดี
3.
เลือกใช้อุปกรณ์คุณภาพสูง
แผงโซลาร์และอินเวอร์เตอร์ที่ได้มาตรฐาน จะมีประสิทธิภาพสูงและอายุการใช้งานยาว ช่วยให้คืนทุนได้แน่นอนในระยะยาว
4.
คำนึงถึงต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership)
อย่าดูแค่ราคาติดตั้ง ควรรวมค่าบำรุงรักษา, ประสิทธิภาพการผลิต, และบริการหลังการขายด้วย
🌱 นอกจากเรื่องเงิน “ติดโซลาร์” ยังให้คุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากฟอสซิล ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายร้อยกิโลกรัมต่อปี ซึ่งส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจและคุณค่าทางใจของเจ้าของบ้าน
โดยเฉลี่ยแผงโซลาร์ขนาด 5 kW สามารถลด CO₂ ได้ถึง 3,000–4,000 กิโลกรัมต่อปี
🏘 ติดโซลาร์เหมาะกับใครที่สุดในแง่ “การลงทุน”?
เจ้าของบ้านที่ใช้ไฟเกิน 2,000 บาท/เดือน
ธุรกิจ SME ที่มีค่าไฟสูง เช่น ร้านอาหาร, รีสอร์ท, โรงงานขนาดเล็ก
ฟาร์มเกษตรที่ใช้ไฟเลี้ยงปั๊มน้ำหรือเครื่องทำความเย็น
โครงการอสังหาฯ ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สิน
เจ้าของบ้านที่ต้องการมี Passive Income ระยะยาว
🧠 สรุป: การ “ติดโซลาร์” = การลงทุนที่จับต้องได้
การติดโซลาร์ไม่ใช่แค่ “การช่วยลดค่าไฟ” แต่คือการลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดได้จริง เห็นผลชัดเจน และมีความเสี่ยงต่ำมากเมื่อเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่น แถมยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ และความผันผวนในตลาดทุนสูง ระบบโซลาร์เซลล์คือทางเลือกใหม่ของการลงทุนที่มั่นคง ใช้งานได้จริง และสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องได้ในระยะยาว
💬 ถ้าคุณกำลังพิจารณาติดตั้งโซลาร์ ขอแนะนำให้มองมันเป็น “การลงทุนในอนาคตของคุณเอง” มากกว่าแค่เรื่องค่าไฟ แล้วคุณจะเห็นว่า “พลังงานแสงอาทิตย์” ไม่ใช่แค่แสงจากฟ้า — แต่มันคือ ผลตอบแทน ที่ตกถึงมือคุณทุกวัน ☀️

.png)



Comments